เมนู

เหตุของธรรมเหล่านั้นนั่นแหละ ท่านกล่าวว่าไม่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรค
และมรรค 3 เบื้องบน ธรรมเหล่านั้น พระองค์มิได้ตรัสไว้ และแม้เหตุและ
ธรรมทั้ง 2 นี้ก็ไม่ประสงค์เอา เพราะฉะนั้น พึงถือเอาเนื้อความนี้ว่า เหตุ
ธรรมทั้งหลายไม่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรค ไม่พึงละด้วยมรรค 3 เบื้องบน
มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า มีเหตุที่พึงละด้วยโสดาปัตติมรรค
ก็มิใช่ ด้วยมรรค 3 เบื้องบนก็มิใช่.

ว่าด้วยอาจยคามิติกะที่ 10



พึงทราบวินิจฉัยในหมวด 3 แห่งอาจยคามิธรรม ต่อไป.
ธรรมใด อันกรรมและกิเลสย่อมก่อสร้างไว้ เพราะเหตุนั้น ธรรมนั้น
จึงชื่อว่า อาจยะ คำว่า อาจยะ นี้ เป็นชื่อของธรรมทั้งหลายที่เป็นไปของ
สัตว์ผู้ดำเนินไปสู่ปฏิสนธิ และจุติ. อธิบายว่า กรรมและกิเลสทั้งหลายย่อม
ถึงปฏิสนธิและจุตินั้น หรือว่า ย่อมยังบุคคลนั้นให้เป็นไปโดยเป็นเหตุให้
ปฏิสนธินั้นสำเร็จ ตามที่กล่าวแล้วนั้นแหละ. ธรรมทั้งหลายที่ชื่อว่า อาจย-
คามิโน
เพราะอรรถว่า ย่อมยังสัตว์ให้ถึงปฏิสนธิและจุติ. คำว่า อาจยคามิ นี้
เป็นชื่อของกุศลและอกุศลที่มีอาสวะ พระนิพพานปราศจากความก่อ เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า อปัจจยะ เพราะปราศจากความก่อคือปฏิสนธิและจุตินั้น
นั่นแหละ ธรรมเหล่าใดย่อมถึงพระนิพพานอันเป็นอปัจจัย ธรรมเหล่านั้นชื่อว่า
อปัจจยคามิโน เพราะกระทำพระนิพพานนั้นให้เป็นอารมณ์เป็นไป. คำว่า
อปัจจยคามี นี้ เป็นชื่อของอริยมรรค. อีกอย่างหนึ่ง กรรมและกิเลสเหล่าใด
ก่อสร้างยังปฏิสนธิและจุติให้เป็นไปอยู่ เหมือนช่างอิฐก่อกำแพง เพราะเหตุนั้น
กรรมและกิเลสเหล่านั้น จึงชื่อว่า อาจยคามิโน. ธรรมเหล่าใดไม่ก่อสร้างปฎิ-
สนธิและจุตินั้นให้เป็นไป เหมือนบุรุษทำลายอิฐที่ก่อสร้างแล้ว ๆ เพราะเหตุนั้น
ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า อปัจจยคามิโน บทที่ 3 ท่านกล่าวปฏิเสธ 2 บทต้น.

ว่าด้วยเสกขติกะที่ 11



พึงทราบวินิจฉัยในหมวด 3 แห่งเสกธรรม ต่อไป.
ชื่อว่า เสกขะ เพราะเกิดแล้วในสิกขา 3 ดังนี้บ้าง ชื่อว่า เสกขะ
เพราะเป็นธรรมของพระเสกขะ 7 ดังนี้บ้าง ชื่อว่า เสกขะ เพราะกำลังศึกษา
อยู่โดยยังไม่สำเร็จการศึกษานั่นแหละ. ชื่อว่า อเสกขะ เพราะไม่ต้องศึกษา
เพราะไม่มีสิ่งที่พึงศึกษาให้ยิ่งขึ้นไปอีก. อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า อเสกขะ เพราะ
พระอเสกขบุคคลถึงความเจริญที่สุดแล้ว. ค่าว่า อเสขะ นี้ เป็นชื่อของธรรม
คืออรหัตผล. บทที่ 3 ท่านกล่าวไว้โดยปฏิเสธ 2 บทข้างต้น.

ว่าด้วยปริตติกะที่ 12



พึงทราบวินิจฉัยในหมวด 3 แห่งปริตตธรรม ต่อไป.
วัตถุมีประมาณน้อย เรียกว่า ปริตตะ เพราะเป็นของแตกหักไป
รอบด้าน เหมือนในประโยคมีอาทิ ปริตฺตํ โคมยปิณฺฑํ (ก้อนขี้วัวเล็กน้อย)
แม้ธรรมเหล่านี้ ก็เปรียบเหมือนของเล็กน้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อ ปริตตะ
เพราะมีอานุภาพน้อย. คำว่า ปริตตะ นี้ เป็นชื่อของกามาวจร. ธรรมที่
ชื่อว่า มหัคคตะ เพราะอรรถว่า ถึงความเป็นใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลส
เพราะมีผลไพบูลย์ และเพราะความสืบต่อยาวนาน หรือว่า บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว
ถึงความเป็นผู้ประเสริฐ ด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ ปัญญา ดังนี้บ้าง. ธรรม
ทั้งหลายมีราคะเป็นต้นกระทำให้มีประมาณ ชื่อว่า ประมาณธรรม ธรรม
ทั้งหลายที่ชื่อ ไม่มีประมาณ เพราะอรรถว่าประมาณธรรมไม่มีแก่ธรรมเหล่านี้
โดยอารมณ์ หรือโดยสัมปโยคะ และเป็นธรรมปฏิเสธประมาณธรรม.